เมืองหลันโจว

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองหลันโจว (เมืองเก่า) คือสะพานเหล็กโบราณชื่อ สะพาน"จงซาน" สะพานทอดข้ามแม่น้ำฮวงเหอ หรือแม่น้ำเหลืองแห่งแรก ของจีน

สะพานมีความยาว250เมตร กว้าง8เมตร ตั้งชื่อสะพานว่า"จงซาน" เพราะให้เกียรติแก่ ท่าน ดร.ซุนยัดเซน ซึ่งคนจีนเรียกอีกอีกชื่อหนึ่งว่า"ซุนจงซาน" นักปฏิวัติระบบการเมืองจีนยุคใหม่เมื่อต้นศตวรรษที่20 นำไปสู่"การปฏิวัติซินไฮ่" เป็นการนำจีน สู่ระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ ท่านเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวคนแรกของจีน และได้เป็นพันธมิตรลับๆกับพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อมาเกิดความแตกแยกเป็นสองฝ่าย หลังจากเขาเสียชีวิต

  แต่หลักการพัฒนาด้านการเมืองของ ดร. ซุนยัดเซน ยังยึดถือปฏิบัติภายใต้หลักปรัชญาที่ว่า  ชาตินิยม ประชาธิปไตย และความเป็นอยู่ของประชาชน ดร.ซุนยัดเซน ถือเป็นบุคคลสำคัญของจีนคนหนึ่งในยุคศตวรรษที่20 ได้รับการยกย่องทั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีน และไต้หวัน สะพานแห่งนี้จึงสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ และเกียรติประวัติ ดร.ชุนยัดเซน

  สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับสะพานจงซานคือ ประติมากรรม แกะสลักหินแกรนิต เป็นรูป มารดาแห่งแม่น้ำเหลือง หรือ"ฮวงเหอหมู่ชิง" มีความหมายว่า แม่น้ำเหลืองเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด ผู้หล่อเลี้ยงสรรพชีวิต เป็นแม่น้ำที่สำคัญ ยาวเป็นลำดับที่สองของจีน ชาวจีนจึงเปรียบเสมือนว่า แม่น้ำเหลืองเป็น มารดาหรือแม่ ที่เป็นผู้ให้ ผู้ที่หล่อเลี้ยง ผู้มอบความรัก จนได้รับความเคารพ จาก มนุษย์และสรรพชีวิตทั้งหลายที่มีความผูกพันกับแม่น้ำเหลือง

   คำว่า"หมู่ชิง" หมายถึง มารดา คำเรียก แม่ เป็นทางการ จึงเรียกแม่น้ำฮวงเหอว่า"ฮวงเหอหมู่ชิง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของแม่น้ำสายนี้ หล่อเลี้ยงสรรพชีวิต ที่ผูกพันกับแม่น้ำฮวงเหอ หรือแม่น้ำเหลือง 

แนวคิดนี้คล้ายกับแนวคิดของคนไทยที่ถือว่าแม่น้ำเป็นผู้หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตเช่นกัน จึงให้ความเคารพแม่น้ำ และเรียกแม่น้ำ ว่า"แม่"นำหน้าชื่อของสายน้ำนั้นๆ คนไทยเรายังมีพิธีกรรมบูชาแม่น้ำ จนเป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่เรียกว่า"ลอยกระทง"บูชาสายน้ำ"  ชมประติมากรรม ฮวงเหอหมู่ชิง ที่คนจีนให้ความเคารพแม่น้ำ ก็คิดว่าไม่ต่างกับคนไทย และเราชาวไทย-จีน มีความผูกพันกันฉันญาติพี่-น้อง  ก็อาจเกิดจากแนวคิดปรัชญาเรื่องการมอบความรัก ความเคารพให้แก่แม่น้ำเหมือนกัน สืบต่อกันมาช้านานอาจเป็นเหตุให้ไทย-จีน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันดุจเครือญาติ จากอดีตอันยาวนานจนถึงปัจจุบัน

 

เมืองตุนหวง

วันนี้ (15มิ.ย 2568)

ที่เมือง ตุนหวง(dunhuang) มณฑล กานซู่ ช่วงเช้า อุณหภูมิ ประมาณ15•c

หลังอาหารเช้าเรามีกิจกรรมท่องๆเที่ยว ขี่อูฐ เที่ยวทะเลทราย  คล้ายๆกับจำลองรูปขบวนคาราวานย้อนยุค เส้นทางสายไหม ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวนี้ก็เป็นเส้นทางสายไหมจริงในอดีต ที่จึนทำการค้าขายจากภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตกของจีน ทะลุสู่ยุโรป เมืองตุนหวงก็เป็นเมืองหนึ่งบนเส้นทางสายไหม  

   เส้นทางท่องเที่ยวนั่งอูฐ กะคร่าวๆด้วยสายตา บวกกับความเร็วที่อูฐเดินประมาณ3กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาราว50นาที ก็จะได้ระยะทาง2.5กิโลเมตร  อูฐที่บริการให้กับนักท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นของรัฐบาลจีน ซื้อให้ชาวบ้านเลี้ยงเพื่อใช้บริการท่องเที่ยว คนละ6ตัว ใช้งานท่องเที่ยว5ตัว สำรองไว้1ตัว ส่วนการบริหารจัดการ รัฐบาลจีนเป็นผู้จัดการให้เป็นระบบ ระเบียบร้อยร้อยดีมาก ค่าตอบแทนคนเลี้ยงอูฐเป็นเงินเดือน ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้สวัสดิการจากรัฐเหมือนกับพนักงานของรัฐทั่วไป  การบริการเป็นระเบียบดีมาก 

  เริ่มออกเดินทางเป็นขบวน ขบวนหนึ่งมีอูฐ5ตัว อูฐก็แสนรู้พอคนคุมอูฐบอกให้อูฐลุกขึนยืน พอตัวหน้าลุกขึ้นยืน ตัวอี่นๆก็ลุกขึ้นตาม คนจุงอูฐก็เดินนำอูฐก็เดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้  มีขึ้นเนินทรายบ้าง ผ่านเนินทรายที่สูง(Hill)แต่ไม่สูงมาก เรียกว่า แซนดูน(sand dune) เดินไประยะหนึ่งก็สุดปลายทาง  ใช้เวลาประมาณ45-50นาที ขบวนหยุดลงตรงใกล้กับ ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวระยะห่างประมาณสองร้อยเมตร จากนั้นเราก็ลงจากอูฐและเดินต่อไปยังทะเทสาป เพื่อชมทัศนียภาพ

   ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวสัณฐานทางธรณีวิทยาเป็นโอเอซีสOasis) เพราะมีพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมีมีน้ำซึมเข้ามา ทะเลสาบนี้มีขนาดยาวประมาณ300เมตร เป็นรูปโค้งคล้ายหฝพระจันทร์เสี้ยงน้ำลึกราว5เมตร บางปีแล้งจัดน้ำลดเหลือความลึกเพียง1เมตร บริเวณขอบทะเลสาบมีกอหญ้า  มีตันไม้ขึ้นอยู่หนาตาพอสมควร และเป็นที่พักขบวนคาราวานบนเส้นทางสายไหม 

   ปัจจุบันเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวนั่งอูฐ เสมือนเป็นเป็นเส้นทางคาราวานค้า-ขายสนเส้นทางสายไหม น่าสนใจมาก ที่สำคัญรัฐบาลจีนบริหารจัดการได้ดีมากไม่แหละหละเหมือนบางประเทศที่ส่งเสิมการท่องเที่ยวแต่ไม่ได้บริหารจัดการอย่างแท้จริง ดูจีนทำเรื่องท่องเที่ยวแล้วผิดหวังกับบางประเทศที่ใกล้ชิดกันกับจีน.

 

Visitors: 1,031,992