หลวงปู่หงษ์ เมืองสุรินทร์

หากจะกล่าวถึงเกจิอาจารย์ในโซนอีสานใต้ แน่นอนว่า ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในสายบุญฤทธิ์ หรือ สายพระกรรมฐาน แต่หากจะพูดถึงสายอิทธิฤทธิ์ หรือสายพระที่มีวิชาอาคม ชื่อของ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ แห่ง สุสานทุ่งมน เมืองสุรินทร์ ย่อมเป็นหนึ่งในนามเกจิที่หลายคนรู้จัก 

  หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ” เดิมนามว่า สุวรรณหงษ์ จะมัวดี  เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2460 ที่บ้านทุ่งมน จบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดอุทุมพร บ้านทุ่งมน ในตำบลเพชรบุรี อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์  เมื่ออายุได้ 18 ปี มารดารขอร้องให้บวชเณรเป็นระยะเวลา 7 วัน  เด็กชายสุวรรณหงษ์จึงตัดสินใจบวชเป็นสามเณรด้วยความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อมารดาโดยไม่บ่ายเบี่ยง  และเมื่อเวลาครบ 7 วันเด็กชายสุวรรณหงษ์กลับรู้สึกเลื่อมใสในร่มกาสาวพัสตร์ในพระพุทธศาสนาจึงไม่ได้ทำการสึกจากเณร และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อครบอายุเกณฑ์ 20 ปี ณ วัดเพชรบุรี ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 

 เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่หงษ์ ตั้งใจมั่นขยันหมั่นเพียรศึกษาพระปริยัติธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้า หลวงปู่เป็นผู้มีความวิริยะสูง จดท่องจำแม่นยำยิ่งนัก ทั้งฝักใฝ่หาความรู้ เพียรหาครูบาอาจารย์อย่างไม่ลดละแม้จะไกลไปยาก ก็อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไป เพื่อให้ได้ความรู้กลับคืนมาเป็นรางวัล ด้วยปณิธานมั่นที่จะโปรดลูกหลานญาติโยมภายหน้า สืบไป

  ครั้นอุปสมบทได้แล้ว 3 พรรษาจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์จาริกธุดงควัตรตามแบบฉบับแห่งพระบรมครู อาศัยอยู่ตามโคนไม้ นุ่งห่มใช้ผ้าเพียงสามผืน ทั้งถือที่สงบสัปปายะ เช่น ป่าช้าเป็นที่เจริญภาวนาเช้าค่ำ ขบฉันภัตตราหารเพียงมื้อเดียว ได้ท่องเที่ยวสู่เมืองขุขัน จ.ศรีสะเกษ เพราะเป็นเขตแห่งสรรพศาสตร์มนตรา จึงได้เข้าขอศึกษากับครูอาจารย์ที่เป็นทั้งฆราวาสก็ดี เป็นผู้ทรงศีลสมณะก็ตาม จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขออนุญาตลากลับเพื่อจาริกธุดงค์สู่พรมเปญ กัมพูชาสืบไป

  เมื่อธุดงค์ข้ามเขาเข้าเขตกัมพูชา อันเป็นที่ตระหนักดีอยู่แล้วว่าเป็นดินแดนแห่งอาณาจักรขอมถิ่นอาถรรพ์ เป็นที่รวมแห่งสรรพศาสตร์ ไสยเวทย์มนตรารุ่งเรืองนัก คงเป็นด้วยบุญบารมีเก่าหนุนนำ พาให้ได้พบกับครูบาอาจารย์เก่า เมื่อพบเห็นแล้วทุกครูอาจารย์ ต่างพึงพอใจในพระภิกษุหงษ์ พรหมปัญโญ ผู้สันโดษอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก ได้บังเกิดความเมตตาประสิทธิประสาทสรรพวิชา ทั้งเวทย์มนแลคาถาเมตตา มหาเสน่ห์ กำบังภัยทั้งคุ้มครอง แคล้วคลาดกันอาวุธ ปืน หอก ดาบ ธนูหน้าไม้เขี้ยวงา ช้างเสือ หุงสีผึ้ง กันยาเบื่อ ทั้งคุณไสย ทำน้ำมนต์รดอาบต่างหายไป แม้นบ้าใบ้จิตหลอนก็อ่อนโยน จนลุเลยข้ามดงสู่จังหวัดสารพัดไต่เขาและภูผา อาศัยหุบเขาข้างห้วยเอนกายา ตกค่ำภาวนาตลอดไปยามสองจิตผ่องใส บังเกิดธรรมบันดาลพาพบไป กับพระอาจารย์ใหญ่องค์เทพเทวาได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาลงจารเสกปากกา อุปเท่มีคุณมากหนากว่าพันประการ ประทานเสร็จสอนจบครบตำรา พระพรหมปัญโญ ให้ปิติทั้งศรัทธา ตั้งจิตกราบครูบาแล้วเงยหน้าขอชมบารมี ทันทีที่ลืมตารูปท่านอาจารย์ใหญ่ก็จางหายทันที พระพรหมปัญโญ สุดที่จะเสียดายเพราะมิได้กล่าวคำว่าขอบคุณ แก่ท่านผู้กรุณาประสาทวิชา ครั้นล่องไพรในพนากลางป่าใหญ่ อัศจรรย์ใจเป็นนักหนาเห็นเด็กร่างดำใหญ่ดุจศิลา พลางผลักทักทายมาแต่ใด กุมารดินล้มหงายหลัง แล้วตั้งตรงทดลองใหม่ ผลักล้มมาด้านหน้า ทดลองถึงสองครั้งให้ระอาจึงแสดงกายาสูงใหญ่ได้ห้าเมตร แสดงเสร็จให้เกิดศรัทธาแล้วสั่งสอนถึงวิธีการสร้างกุมารทองให้ถูกต้องตาม ตำรับฉบับครู ครั้นธุดงค์ผ่านเขาพนาไพร นานอยู่ได้เกือบขวบปี แวะผ่านที่หมู่บ้านชื่อ “บ้านกรู”(ภาษาไทยคือบ้านค

  ณ หมู่บ้านนี้เองที่ชาวบ้านต่างกล่าวขานคุณงามความดีในวีรกรรมหลายๆสิ่งที่ไม่ อาจลืมเลือนได้ จากหัวใจของทุกคน แม้หลวงปู่จะธุดงค์กลับประเทศไทยแล้วก็ตามจนขณะนี้หลวงปู่มีอายุย่าง 85 ปี จึงได้เดินทางไปเยี่ยมชาวกัมพูชา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่าหลวงปู่จะมาต่างดีใจ ครั้นหลวงปู่ไปถึงชาวบ้านเกือบพันคนต่างนอนคว่ำเรียงรายตั้งแต่ถนนจนถึงศาลา แล้วอาราธนาให้หลวงปู่เดินเหยียบบนหลังของเขาเหล่านั้น หลวงปู่จะไม่เดินชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม กล่าวว่ายอมพร้อมพลีกายด้วยความเคารพบูชา หลวงปู่ขัดเขามิได้จึงยอมเดินบนหลังของเขาเหล่านั้น แม้แต่ผู้เฒ่าอายุราว 100 กว่าปี เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่หงษ์ มาก็อุตส่าห์ลากไม้เท้าหลังงองกเงิ่นเดินทางมากราบบูชา

  ผู้ติดตามหลวงปู่ทุกคนต่างแปลกใจและถามว่าทำไมจึงศรัทธาองค์หลวงปู่ขนาดนี้ พวกเราทุกคนต่างก็ถึงบางอ้อ! เพราะพ่อเฒ่าต่างเล่าให้ฟังว่า “หลานเอ๋ย ถ้าวันนั้นหลวงพ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หมู่บ้านกรูทั้งหมู่บ้านก็แตกกระจายป่นปี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องแปลก ตาเองก็ไม่เคยเห็น ว่าลูกระเบิด และลูกปืนใหญ่ขนาดแตงโม มันตกมาบนหลังคาหญ้าแฝก แปลกที่มันไม่ทะลุหล่นลงมา กลับกลิ้งคลุกๆ ไปตามทางลาดชายคา พวกเราก็นึกว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าลูกระเบิดตกกระทบกับพื้นดิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ! ปรากฏว่าลูกปืนจมดินเกือบครึ่งลูก แต่มันอัศจรรย์มาก หลานเอ๋ย มันไม่ระเบิด! เท่านั้นแหละเม็ดกรวด เม็ดหิน แม้แต่ดินใต้แคร่ไม้ไผ่ เขายังขุดไปลึกเป็นเมตรเอาไปปั้นเป็นลูกอมตากแดด ครั้นหลวงพ่อกลับประเทศไทยไปแล้ว แคร่ตัวที่ท่านนั่งก็ยังไม่มีเหลือ ชาวบ้านเขาจุดธูปเอามาพลีแบ่งกันจบหมดไม่เหลือหรอ หลวงพ่อเน้อ! พร้อมกับยกมือไหว้ทางหลวงปู่หงษ์ พวกตาและชาวบ้านรอดตายมาได้ทุกคน เสมือนตายแล้วเกิดใหม่ เท่ากับหลวงพ่อท่านมาชุบชีวิตให้ใหม่”

  ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ ท่านเดินบนหลังของพวกเขา ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่ จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกป่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้ โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณและโทษของการไม่มีป่าไม้ไม่มีน้ำ จะเกิดความเดือนร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง ทุกคนเคารพศรัทธาในหลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข

  หลวงปู่หงษ์ เป็นพระธุดงค์ ถือสันโดษ โปรดสัตว์ จึงไม่ติดกับที่อยู่ หรืออมิสลาภ จึงได้ลาญาติโยม เพื่อจาริกแสวงบุญต่อเรื่อยมา

  ชื่อเสียงของหลวงปู่หงษ์นั้น เลื่องลือด้วยตำนานการบอกเหล่าบอกขาน หนึ่งในตำนานความเข้ม

ขลังที่ได้ยินได้ฟังมา นั่นคือในคราวเกิดสงครามตามชายแดนนั้น ชาวบ้านบางส่วนไปขอพึ่งใบบุญท่าน ที่อาศัยในกระต๊อบเล็กๆเป็นที่พัก ในขณะนั้นมีระเบิดตกในพื้นที่ดังกล่าว แต่ปรากฎเป็นอัศจรรย์ว่า ระเบิดเหล่านั้น ไม่ได้ตกตรงกระต๊อบน้อย แต่ตกสู่พื้นรายรอบกระต๊อบท่าน และได้มีการระเบิดแต่อย่างใด

นอกจากนี้ หลวงปู่หงส์ ยังได้สร้างคุณูปการให้กับสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะด้านสังคมสงเคราะห์ หลวงปู่หงษ์ บริจาคทรัพย์สร้างสถานีอนามัยและสถานเลี้ยงเด็ก รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือโรงเรียน ปรับปรุงสถานีตำรวจ จัดตั้งมูลนิธิหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ บริจาคเพื่อขุดแหล่งน้ำ บ่อน้ำ และฝายกั้นน้ำ  ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลวงปู่หงษ์ บริจาคเงินเพื่ออนุรักษ์ป่า ปลูกป่า เสริมสร้างป่าชุมชน บริจาคเงินและตั้งกองทุนเพื่อซื้อและไถ่ชีวิตสัตว์

  พ.ศ.2535 รับโล่รางวัลชนะเลิศด้าน สิ่งแวดล้อมดีเด่นจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ.2536 รับรางวัลชนะเลิศวัดพัฒนาตัวอย่าง พ.ศ.2537 รับรางวัลชนะเลิศด้านบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และรับพระราชทานเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  

หลวงปู่หงษ์มีวันเกิดและวันมรณภาพวันเดียวกัน คือ วันที่ 5 มี.ค. โดยท่านได้ละสังขารอย่างสงบ ในวันที่  5 มี.ค.2557 ด้วยวัย 97 ปี พรรษา 77

ขอขอบคุณเพจ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ 

ข่าวโดย ไผ่ บ่อไร่

Visitors: 344,099