เศรษฐา ประกาศวิสัยทัศน์

นายกฯ เศรษฐา ประกาศวิสัยทัศน์ Thailand Vision“IGNITE THAILAND จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง”

ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก[Bangkok, Thailand] – 22 กุมภาพันธ์ 2567 – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศวิสัยทัศน์ Thailand Vision ที่ทําเนียบรัฐบาล มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยว การรักษาพยาบาลและสุขภาพ อาหาร การบิน การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต เทคโนโลยี และการเงิน

https://youtu.be/B2G9Vi0QUpI

 


นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เปิดเผยว่า รัฐบาลตั้งเป้าประเทศไทยจะก้าวไปเป็นที่ 1 ของภูมิภาค ด้วย
ข้อได้เปรียบของประเทศไทย ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ภูมิอากาศทีอบ่อุ่นตลอดปี
โครงสร้างที่พร้อมต่อยอด และที่สําคัญ คือ ศักยภาพของคนไทย
โดยวิสัยทัศน์แรก นายกฯ เศรษฐา ประกาศตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว(Tourism Hub) เนื่องจากประเทศไทยมีขนาดพื้นที่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมา
เยือนอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับคนไทยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวน
ประชากร เนื่องจากรายได้หลักของคนไทยมาจากการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.3 ล้าน
ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี เฟ้นหา Soft Power ชูจุดขายเป็นเสน่ห์ของ
ประเทศไทย ให้โดดเด่นในสายตาประชาคมโลก ทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรม งานเทศกาล คอนเสิร์ต งาน
ภาพยนตร์ งานศิลปะ อาหาร วัฒนธรรม และที่น่าจับตามองคือ กีฬา และศิลปะป้องกันตัว ซึ่งเป็นอัตลักษณ์
ของคนไทย รวมถึงจะผลักดันบางจังหวัดให้เป็นมรดกโลก อย่าง จังหวัดน่าน และรัฐบาลจะเปิดอิสรภาพสู่
การเดินทางระดับภูมิภาค อํานวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ปลดล็อกทุกข้อจํากัด ข้อกังวลของการ
ท่องเที่ยว ผ่านการเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ อย่าง จีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน
ให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาค และใน CLMV ประกอบไปด้วย กัมพูชา สปป.
ลาว เมียนมา และเวียดนาม และหลังจากนี้การท่องเที่ยวในประเทศไทยจะต้องได้รับการส่งเสริมต่อยอด
ทุกรูปแบบ ทุกจังหวัด ทั้งเมืองหลัก เมืองรองต้องพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว พร้อมทั้งแก้ไขกฎ
ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคการท่องเที่ยว เช่น เวลาเปิดปิดของสถานบริการ การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
รวมถึงการแก้ไขภาษีสําหรับการจัดงานหรือแข่งขันต่าง ๆ รองรับการเป็น Homestay ของคนทั้วโลก โดยใน
แต่ละหน่วยงานของทุกพื้นที่จะต้องนําธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต สร้างเป็นจุดขาย
และ อีกทั้งรัฐบาลปลดล็อกกฎระเบียบต่าง ๆ เอื้อให้ผู้จัดงานระดับโลก ให้สามารถเข้ามาจัดแสดงใน
ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต ภาพยนตร์ และงานศิลปะ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทําให้ทุกภาคส่วนทั้ง
โรงแรมชั้นนํา ที่พักของคนไทย ร้านอาหาร สินค้าพื้นบ้าน ของดีของเด่นประจําเมือง ตลอดจนสินค้า
การเกษตรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
วิสัยทัศน์ที่ 2 ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (Wellness & Medical Hub) รัฐบาลจะ
ผลักดันอุตสาหกรรมสาธารณสุข ให้เป็นศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรของโลก ด้วยเพราะระบบการ
รักษาพยาบาลของประเทศไทยมีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งศาสตร์การดูแลสุขภาพแผนไทยที่มีชื่อเสียง
บุคลากรที่มีคุณภาพและ Service Mind ทั้งยังสามารถดูแลได้ครอบคลุมตั้งแต่เกิดไปจนถึงวัยชรา และ
รักษาได้ทุกโรค ที่สําคัญมีค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล จนกลายเป็นอีกจุดขายดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทาง
มาเมืองไทยเป็นจํานวนมาก จากข้อมูลในปี 2566 พบว่า การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ สร้างเม็ดเงินได้กว่า
4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนาระบบประกันสุขภาพของคนไทย จาก 30 บาทรักษา
ทุกโรค ยกระดับไปเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งในส่วนนี้จะทําให้คนไทยเข้าถึงระบบรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นทั้
ในโรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชน ใช้ AI เชื่อมฐานข้อมูลทั้ง 77 จังหวัดด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียว
ซึ่งในขณะนี้นําร่องไปแล้ว 4 จังหวัด และคาดว่าจะครบทุกจังหวัดในสิ้นปีนี น้อกจากนี้รัฐบาลจะเพิ่ม
จํานวนหมอ และพยาบาลให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งจะพัฒนาคุณภาพ ยกระดับ
ชีวิตบุคลากรให้ดีกว่าเดิม และจะผลักดันการแพทย์แผนไทย นวดแผนไทย สปาแผนไทย สมุนไพร รวมทั้ง
จะสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ทําใบรับรองประกาศนียบัตร และผลักดันให้ไปเปิดศูนย์ Wellness Center
ได้ในต่างประเทศ
วิสัยทัศน์ที่ 3 ศูนย์กลางอาหาร (Agriculture & Food Hub) รัฐบาลจะยกระดับการผลิต
อุตสาหกรรมการเกษตร ทําให้ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ “ในนํ้ามีปลา ในนามีข้าว ในกระเป๋ าต้องมีเงิน” ดูแล
ความมั่นคงทางอาหารของโลก พร้อมเป็นครัวของโลกที่สามารถปรุงอาหารทุกประเภทส่งออกไปยัง
ตลาดโลก ด้วยเพราะประเทศไทยมีจุดแข็งทางด้านภูมิศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ มีอุตสาหกรรมที่ครบวงจร
ตั้งแต่การปลูกพืช การเลี้ยงปศุสัตว์ การประมง การแปรรูป การปรุงอาหาร สูตรอาหาร จึงทําให้ประเทศไทย
เป็นทีรู้จั่กในเรื่องรสชาติที่มีความโดดเด่นอร่อยติดอันดับโลก มีร้านอาหารที่ได้รับตรามิชลินกว่า 196 ร้าน
และมีร้านที่ได้รับดาวมิชลินกว่า 35 ร้าน ซึ่งรัฐบาลจะเข้ามายกระดับเกษตรกรรม ส่งเสริมเกษตรกรไทย ให้
มีรายได้มากขึ้น 3 เท่าใน 4 ปีของรัฐบาลนี้ ดูแลทั้งดิน นํ้า พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ พันธุ์ปลา ให้อุดมสมบูรณ์ และ
แหล่งชลประทานจะต้องขยายให้ครอบคลุม 40 ล้านไร่ ดูแลการเพาะปลูก Precision Agriculture การ
เลี้ยงสัตว์ และดูแลปัญหาเรื่องฝุ่่น PM 2.5 ไปพร้อม ๆ กัน สนับสนุนสินค้าเกษตรทั้งประเทศไปสู่ตลาดโลก
ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นปัจจัยทางด้านอาหารของโลก และข้อมูลจากสํานักงานด้านประชากรของ
องค์การสหประชาชาติ ยังได้คาดการณ์ว่าในปี 2593 ทั่วโลกจะมีจํานวนประชากรทั้งหมดเกือบ 10,000
ล้านคน ซึ่งมากกว่าในปัจจุบันเกือบ 2,000 ล้านคน เมื่อมีจํานวนประชากรเพิ่มขึ้นก็ย่อมต้องการอาหารมาก
ขึ้นเช่นกัน ไทยสามารถผลิตอาหารได้ตั้งแต่ต้นนํ้าในภาคเกษตรกรรม จนไปถึงการแปรรูปส่งออกไปยัง
ตลาดโลกได้ โดยรัฐบาลจะพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต การวิจัยพัฒนาอาหารโปรตีนสูงจากพืช
ตลอดจนการพัฒนาอาหารที่แปลกใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นกระแสของตลาดโลกในอนาคต นอกจากนี้รัฐบาล
จะยกระดับคุณภาพอาหาร ทั้งอาหาร Halal อาหารสําหรับผู้ป่วย และอาหารชนิดพิเศษอื่น ๆ ตลอดจน

รัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ไปเปิดร้านอาหารในต่างประเทศมากขึ้น
ปัจจัย 4ของโลกในด้านอาหาร
ทําให้ไทยกลายเป็น

วิสัยทัศน์ที่ 4 ศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญที่จะขับเคลื่อน
เศรษฐกิจทั่วโลกให้เชื่อมถึงกัน ด้วยจุดแข็งทางภูมิศาสตร์รายล้อมไปด้วยประชากรกว่า 280 ล้านคน ติด

อันดับ 5 ของประชากรโลก และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว ทํางาน ในทุกระดับ ทุกราคาที่เลือก
ได้ รัฐบาลมีแผนจะพัฒนาสนามบินให้รองรับการ Transit ของสายการบิน และเตรียมปรับเส้นทาง
ตารางบินให้เหมาะสม เพื่อเพิ่ม Transit Capacity ให้สูงขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีระยะทางไปยัง
ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจได้ทั่วโลกใกล้กว่าประเทศเพื่อนบ้าน มีสนามบิน ทั้งเมืองหลัก เมืองรอง ที่พร้อมเป็น
Home-base และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเรื่องรันเวย์ อาคารผู้โดยการ คลังสินค้า สร้างระบบขนส่งสินค้า
ควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพิ่มทรัพยากรบุคคล การตรวจความปลอดภัย เสริมคุณภาพการบริการทุก
ระดับ เพื่อเตรียมพร้อมจะเป็น Homeland ของสายการบินทั้งไทยและสายการบินนานาชาติ เพียบพร้อมไป
ด้วยศูนย์ดูแลรักษา ซ่อมบํารุง ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จะทําให้ภาคบริการ ภาคการขนส่ง โรงแรม การ
ท่องเที่ยว อาหาร สินค้าเกษตร เติบโตไปยังตลาดโลก
วิสัยทัศน์ที่ 5 ศูนย์กลางขนส่งของภูมภาค (Logistic Hub) รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
เพิ่มศักยภาพระบบคมนาคมทั้งในและต่างประเทศ โดยรัฐบาลมีแผนจะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ กระจาย
ความเจริญจากเมืองใหญ่สู่เมืองเล็ก ตั้งแต่การปรับปรุงสนามบินทั้งระบบ ขยายถนนทั้งถนนหลัก ถนนรอง ซึ่งภายในปี 2593 จะต้องขยายทางหลวง Motorway 10 เท่า จากปัจจุบัน 250 กิโลเมตร ให้เป็นเกือบ
2,500 กิโลเมตร และทางหลวงแผ่นดิน 4 เลน จาก 20,000 กิโลเมตรให้เป็น 23,000 กิโลเมตร เชื่อมต่อตั้งแต่
ชายแดนภาคเหนือที่ติดกับเมียนมาร์ สปป.ลาว เชื่อมต่อไปยังชายแดนไทย-มาเลเซีย ส่วนระบบราง จะ
พัฒนารถไฟรางคู่ เพิ่มระยะทางอีก 2,000 กิโลเมตร ซึ่งจะทําให้ระบบรางระหว่างเมืองมีระยะทางรวม
5,500 กิโลเมตรภายในปี 2573 ในส่วนของระบบรถไฟฟ้าทั้งกรุงเทพฯ และภูมิภาคจะมีระยะทางเพิ่มขึ้น 2.5
เท่า ครอบคลุมเส้นทางเกือบ 700 กิโลเมตร มีรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสู่ 3 สนามบินและจะเชื่อมไปยัง
ชายแดนหนองคายพร้อมทั้งเชื่อมต่อไปยังท่าเรือนํ้าลึกที่แหลมฉบัง สําหรับส่งสินค้าจากอุตสาหกรรมหนัก
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมอาหาร เปิดตัวเป็นศูนย์กลางคมนาคม
ของอาเซียน เชื่อมจีน ยุโรป และเป็นศูนย์กลางขนส่งผ่าน Land Bridge เชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรอันดามัน_
อ่าวไทย สร้างความสมดุลสู่ความมั่งคั่งเป็นตัวกลางการค้าระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก ซึ่งการ
ลงทุน Mega project ในครั้งนี้ จะเป็นการลงทุนใหญ่ในรอบ 20 ปี นอกจากโครงสร้างพื้นฐาน เราจะต้อง
ปรับปรุงกระบวนการทํางานทั้งหมด (One Stop Service) ไม่ให้ระบบราชการ ระบบเอกสาร เป็นคอขวด
ของการขนส่งทั้งคน ทังสิ้นค้า เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของประเทศโดยเด็ดขาด บริษัทชั้นนําระดับโลก มาตั้ง
ฐานการลงทุนในประเทศไทย และสร้างอาชีพ สร้างโอกาส สร้างรายได้
วิสัยทัศน์ที่ 6 ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) รัฐบาลตั้งเป้าให้
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต มีเป้าหมายจะได้แผนการลงทุนกว่า 1 ล้านล้าน
บาท ได้หารือพูดคุยกับบริษัทยานยนต์ไปมากกว่า 10 ราย และมีการตอบรับจะลงทุนในประเทศไทยแล้ว
มากกว่า 150,000 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจของเราเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์

โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ญี่ปุ่ นที่เลือกไทยเป็นบ้านหลังที่2 ในวันนี้ที่อุตสาหกรรมกําลังเปลี่ยนผ่านไปสู่รถ EV
ประเทศไทยเราก็มีผลตอบรับที่ดี เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมในทุก Supply Chain มีผู้ผลิตชิ้นส่วน
วิศวกร และ Programmer ที่มีศักยภาพ รัฐบาลจึงมีแผนจะส่งเสริมอุตสาหกรรมรถ EV ตลอดห่วงโซ่
อุปทาน ตั้งแต่การค้นคว้าวิจัย การผลิตชิ้นส่วน ยางรถยนต์ แบตเตอร์รี่ อะไหล่ การประกอบ การบํารุงรักษา
ทําให้เกิดเป็น Ecosystem ทีDสมบูรณ์ในประเทศ พร้อมทั้งจะให้การสนับสนุนค่ายรถจากญี่ปุ่ น ที่ช่วยสร้าง
เศรษฐกิจไทย ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยายนต์แห่งอนาคตได้ นอกจากนี้ รัฐบาลได้
เตรียมพร้อมสําหรับเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างเช่น เครื่องยนต์ Hydrogen เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต
วิสัยทัศน์ที 7 ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy Hub) รัฐบาลตั้งเป้าดึง
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต Digital for all Technology Innovation AI ให้มาขยายธุรกิจในประเทศไทย
โดยเฉพาะเทคโนโลยี High Tech ต่าง ๆ ทั้งการลงทุนโรงงานผลิต Semiconductor, การตั้งศูนย์ Data
Center รองรับ Cloud Computing, การวิจัยและนํา AI มาใช้งานในประเทศไทย รวมถึงดึงบริษัท Deep
Tech ให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วยเช่นกันผ่านโมเดล Sandbox ซึ่งรัฐบาลจะมีเงินสนับสนุนบริษัทที่
ต้องการผ่านกองทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และจะทํา Matching Fund เติมทุนให้กับบริษัท
ที่มีศักยภาพด้วย และในขณะเดียวก็เตรียมปรับกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการตั้งบริษัท
การทํางาน การรับ - จ่ายเงินเดือน การถือครองทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อดึงคนที่มีความสามารถเข้ามาตั้งรกราก
ในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนให้บริษัทสามารถประกอบธุรกิจข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
โดยใช้จุดแข็งทางด้านการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งจะทําให้นรุ่นใหม่ที่อยากจะร่วมงานกับบริษัทชั้น
นําในระดับโลก ไม่ต้องย้ายไปอยู่ในต่างประเทศ และจะเป็นโอกาสให้คนไทยที่อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ
Start Up สามารถสร้าง Unicorn ของตนเองต่อไป
และวิสัยทัศน์ที่ 8 ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) รัฐบาลตั้งเป้าจะเปลี่ยนให้ไทยเป็น
Financial Center of Southeast Asia ขับเคลื่อนโดยระบบการเงินที่แข็งแกร่ง ดึงสถาบันการเงินระดับโลก
เข้ามาลงทุน สร้างย่านการเงิน Wall Street ของอาเซียนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และพัฒนา Infrastructure
รองรับระบบการเงินแห่งอนาคตขับเคลื่อนด้วย Blockchain ที่ไร้ตัวกลาง และเตรียมปลดล็อก Digital
Asset ต่าง ๆ ให้สามารถแปลงเป็นผลผลิตในโลกแห่งความเป็นจริง รวมถึงเชื่อมต่อระหว่างสินทรัพย์ในโลก
ปัจจุบันให้มาอยู่บนโลกดิจิทัลได้อีกด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลจะเริ่มพัฒนาระบบการเงินเพื่อความยั่งยืน
Carbon Credit Trading ซึ่งในอนาคตจะมีความสําคัญมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลจําเป็นต้องมีหน่วยงาน
กฎระเบียบ รองรับการก้าวไปสู่ยุคการเงินสมัยใหม่เช่นกัน
ปิดท้ายด้วย พื้นฐานที่จ ะนําไปสู่ความสาํ เร็จ (Foundation to Success) นายกฯ เศรษฐา ยัง
เผยทิงท้ายว่า การจะทําทุกอย่างให้สําเร็จได้นั้น มีเป้าหมายอย่างเดียวคงไม่พอ การเป็นศูนย์กลางต่างๆ
ต้องอา้ศัยความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกคน เป้าหมายความเจริญทางเศรษฐกิจ จะต้องมาพร้อม
กับการพัฒนาทางสังคมด้วยกระบวนการทํางานต่าง ๆ ของภาครัฐ (Transparency) โครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้ และทางสังคมจะต้องมีการปรับปรุงด้วย และรัฐบาลจะอัปเกรดระบบงานของรัฐทั้งหมด
ขึ้นระบบ Cloud เพื่อให้บริการประชาชนได้เร็วยิ่งขึ้น และจะทําระบบ Application SDK มาตรฐานของรัฐ
เปิดให้ทั้งภาคประชาชน และเอกชนเข้าใช้งานได้ Digital Wallet เองก็จะเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของรัฐบาล ซึ่ง
อาจจะได้เห็น Start Up ใหม่ ๆ เกิดขึ้นจากการใช้บริการจากภาครัฐ และรัฐบาลจะให้ความสําคัญในเรื่อง
ของความเท่าเทียมกัน (Equality) ทั้งเพศสภาพ การประกอบอาชีพ การรักษาพยาบาล รองรับทั้งผู้สูงวัย
ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์ และเด็ก วัฒนธรรมที่เปิดกว้าง (Soft Power) พร้อมต่อยอด เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
ได้ โดยไม่ละเลยอัตลักษณ์และตัวตน จนสามารถสร้างรายได้ให้ตนเอง โอกาสทางการศึกษา (Education)
ที่จะต้องได้รับการพัฒนา โดยรัฐบาลจะเป็นผู้กําหนดมาตรฐาน เปิดช่องทางการเรียนรู้ใหม่ ๆ สร้างกลไกที่
เอื้อให้เอกชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การพัฒนา Content การทํา Play-based learning พร้อมทั้งผลักดันเด็กไทย
อ่านภาษาอังกฤษ ต่อยอดภาษาต่างประเทศได้ด้วย ไปจนถึงประเทศ ความปลอดภัย (Safe & Security)
สังคมต้องปราศจากอาชญากรรม และยาเสพติดทุกรูปแบบ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และ พลังงาน
สะอาด (Green Society) ประชาชนและภาคธุรกิจจะต้องเข้าถึงพลังงานสะอาดและราคาถูก
***************************************************************************************

 

 

 

 

 

Visitors: 344,094