เมืองเว้ เวียตนาม

ครั้งหนึ่งที่"เว้".(1)..เวียดนามหลังยุคสงครามเย็น

นโยบายการเมืองอะไรๆ.ก็เปลี่ยนไปบ้างจากระบบคอมมิวนิวนิสต์จ๋า ก็เริ่มอ่อนโอนหันสนใจเศรษฐกิจ เปิดกว้างการลงทุนมากขึ้น พัฒนาสาธารณูปโภคประเทศเริ่มเจริญรุกหน้าในหมุดที่ต้องการ

วันหนึ่งเราได้รับโอกาสพิเศษไปเยือนเวียดนามกับบริษัททัวร์เพื่อนกันซึ่งจัดทำทริปเที่ยวเวียดนามขึ้นมาเราก็มีโอกาสได้ไปสำรวจเส้นทางกับเขาด้วย โดยปักหมุดไปเยือนเมืองเว้ ดานัง และฮอยอันครับ เราออกเดินทางด้วยรถบัสนำเที่ยวตั้งแต่หัวค่ำไปสว่างที่มุกดาหารแล้วพักทานข้าวอาบน้ำโรงแรมในตัวเมือง เสร็จแล้วนั่งรถข้ามโขงไปสปป.ลาวยื่นหนังสือเดินทางที่ด่านสะหวันนะเขตแล้วเปลี่ยนไปนั่งรถนำเที่ยวเวียดนามซึ่งมาคอยต้อนรับเเละทำหน้าที่รับช่วงต่อพาคณะของเราสู่พื้นที่เป้าหมาย ในเส้นทางถนนเอเซีย 16(AH16)หรือถนนหมายเลข9 ถึงด่านลาวบาวประเทศเวียดนามระยะทาง250กม.ครับ3ชั่วโมง บนถนนสายนี้ระหว่างทางเราแวะไห้วพระธาตุอิงฮังพระธาตุเก่าแก่ของแขวงสะหวันนะเขตด้วยดอกไม้สดจากแม่ค้าชาวลาวนำมาวางขายประตูทางเข้าทราบว่าพระธาตุอิงฮังสร้างขึ้นในพ.ศ

.600 โดยพระเจ้าสุมินทะลาด ในอาณาจักรโคตรบูรแม้พระธาตุจะอยู่ในสภาพเก่าทรุดโทรมแต่ก็เป็นที่พึ่งทางใจให้กับพี่น้องชาวลาวตลอดมา รถแล่นผ่านเขตเมืองอัสพังทองเมืองฟิน เมืองหนองสาและเมืองเชโปนซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของลาวในยุคสงครามเมื่อ50ปีก่อน เมืองนี้จะเห็นซากรถทหารจีไอถูกทิ้งร้างอยู่ทั่วไป บางคันกลายเป็นที่ช่อนตัวของหนูกระรอกมีต้นไม้ขึ้นรก จากเมืองเชโปนถึงด่านลาวบาวเริ่มมองเห็นภูเขา ป่าไม้ให้ความชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง เส้นทางหมายเลข9ชาวลาวจะเรียกว่าถนนโฮจิมินท์ครับเพราะในอดีตทหารเวียตนามใช้เส้นทางนี้ลำเลียงอาวุธเข้ามาในลาว ต่อมาก็ถูกพัฒนาให้เป็นถนนสายหลักในเวียดนามพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาครับ ถนนคดเคี้ยวน่าเวียนหัว สองข้างทางวิวสวยแม่น้ำหลายแห่งขึงด้วยสะพานแขวงให้คนได้สัญจร พบรถบรรทุกประเทศจีนแล่นปุเลงๆใส่ของเต็มคัน พื้นที่ชนบทของเวียดนามบ้านเรือนจะเป็นทรงเตี้ยๆชั้นเดียวสร้างด้วยอิฐปูนแบบง่ายๆครับ ไกด์หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นชาวเวียดนามอธิบายให้ฟังว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามในชนบทค่อนข้างลำบากนอกจากจะมีพื้นที่การเกษตรน้อยนิดแทรกตัวอยู่ตามไหล่เขายังต้องผจญกับภัยธรรมชาติลมมรสุมในหน้าฝ่นเจอน้ำท่วมเป็นประจำเราผ่านเมืองกวางจิส ไม่นานก็เข้าสู่เมืองเว้ในเวลาใกล้ค่ำ สภาพของเมืองค่อนข้างวุ่นวายถนนหนทางได้ยินแต่เสียงแตรจักรยานยนต์ รถยนต์ แล่นแข่งเวลาโดยไม่สนใจกฏจราจร เราแวะทานอาหารในเมืองเว้ เป็นภัตตาคารหรูตั้งอยู่กลางเมือง เป็นที่ฝากท้องของคณะทัวร์ต่างๆจากประเทศไทย คืนแรก เราเข้าพักโรงแรมชานเมือง หลังอาบน้ำแต่งตัวตั้งใจไปเดินเล่นริมถนนหน้าโรงแรมเจอหนุ่มเวียดนามหน้าใสขี่มอเตอร์ไซต์มาประกบพร้อมคำรบถามว่าเที่ยวสาวญวนไหมพี่เดี้ยวจะไปส่งราคา2,000บาท

 ครั้งหนึ่งที่เว้(2)...เช้าวันนี้เรารองท้องด้วยอาหารเบาๆเป็นกาแฟดำแกล้มไข่กระทะอาหารญวนจานด่วนครับ  เพราะต้องกินเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลารถออกซึ่งเพื่อนๆทุกคนอิ่มท้องไปรอที่รถกันหมดแร้ว ถือเป็นการลงโทษคนนอนตื่นสายซึ่งก็คือเรานั่นเอง เว้ เป็นเมืองขนาดกลางอยู่ในจังหวัดเถื่อเทียน มีความเป็นคลาสสิคในรูปแบบออริจินอล 

คือมีพระราชวังโบราณที่ใครๆอยากรู้จัก

พระราชวังเว้เป็นราชวังเก่าแก่ของจักรพรรค์ราชวงค์เหงียนในปีพ.ศ.2345-24.  91(246ปี)พระราชวังมี3ชั้นล้อมรอบด้วยคูน้ำพระสร้างโดยกษัตริย์ยาลองปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนได้สถาปนาเมืองเป็นราชธานีและสร้างพระราชวังไดนอยขึ้นอย่างใหญ่โตบนเนื้อที่52ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำหอมไกด์วัยกลางคนชาวเวียดนามพาคณะของเราเดินดูอย่างเนิบๆพร้อมอธิบายได้อรรถรสมองเห็นภาพเธอบอกอีกว่าจักรพรรดิ์ราชวงค์เหงียนมีพระมเหษีหลายคนสนมหลายนางเช่นเดียวกับกษัตริย์หลายประเทศบนโลกใบนี้ จากพระราชวังเว้ก็ไปล่องเรือมังกรในแม่น้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมืองเป็นแม่น้ำขนาดความกว้างพอๆกับแม่น้ำเจ้าพระยาครับแม่น้ำใสสะอาดทัศนีภาพดูดีมีภูเขาวัดเจดีย์วิถีชีวิตของของชาวเมืองเว้ตลอดทั้งสองฝั่ง เรือมังกรพามาขึ้นฝั่งวัดเทียนมู่วัดนี้มีประวัติน่าศีกษามีเจดีย์7ชั้่นถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเว้มาตั้งแต่ปี คศ. 1710 มีลักษณะเป็นเจดีย์แต่ละชั้นเชื่อว่าเป็นตัวแทนชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ทางด้านซ้ายและด้านขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกระฆังสำริดขนาดใหญ่หนัก 2 ตัน ทางด้านหลังเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ยืนเฝ้าประตูเพื่อไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามา เจดีย์เทียนมู่เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของจีนและความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัวนอกจากในแง่ของพระพุทธศาสนาแล้ว เจดีย์เทียนมู่ยังเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและอำนาจ โดยเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของวัดเจดีย์เทียนมู่คือ รถออสตินสีฟ้า ที่ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้  โดยมีประวัติว่าในปี พ.ศ. 2506 พระภิกษุทิกกวางหยก วัย 73 ปี เจ้าอาวาสวัดเทียนมู่ได้ใช้รถคันนี้เป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียมที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงและบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกและใช้ความรุนแรง หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง รถออสตินคันสีฟ้าคันนี้จึงถูกนำมาเก็บไว้ในสถูปทองคำวัดเทียนมู่จนถึงปัจจุบันก่อนเดินทางกลับเราเห็นสาวงามนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นรู้สึกสนใจได้ถ่ายร่วมเธอเลยทำให้เฟ้อฝันทั้งคืน.... 

 

 

 

 

Visitors: 344,299