หลวงปู่เริ่มวัดจุกกระเฌอ

หลวงปู่เริ่ม ปรโม แห่งวัดจุกกะเฌอ 

  กล่าวถึงพระเกจิที่มากประสบการณ์ทางภาคตะวันออกแล้ว นอกจากหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แล้วอีกรูปที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ พระครูวิริยาภรณ์ หรือ หลวงปู่เริ่ม ปรโม แห่งวัดจุกกะเฌอ อำเภอ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ถ้าเรื่องของประสบการณ์ที่โด่งดังแล้ว โด่งดังไม่แพ้พระเกจิท่านใด โดยพระอาจารย์รูปแรกของท่านก็คือ หลวงพ่ออ่ำ เรือเก่าอดีตเจ้าอาวาส วัดหนองกระบอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยองที่สร้างเครื่องรางรูป แพะ มีพุทธคุณสูงด้านเมตตามหานิยมจนโด่งดังไปทั่ว

  หลวงพ่อเริ่ม ท่านมีนามเดิมว่า เริ่ม นามสกุล เฉียงเอก ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2448 ณ บ้านเลขที่ 26 ต.บึง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โยมบิดาชื่อ มิ่ง เฉียงเอก โยมมารดาชื่อ เลี่ยม เฉียงเอก (นามสกุลเดิม แท่นทอง) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 11 คน 

พ.ศ. 2468 เมื่ออายุครบ 20 ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดแหลมฉบัง(เก่า) ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยมี

- พระอุปัชฌาชย์ พระครูสุนทรธรรมรส (ศรี พฺรหฺมโชติ) อดีตเจ้าอาวาสวัดอ่างศิลา ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี

- พระกรรมวาจารย์ พระอาจารย์จั้ว วัดอ่างศิลา ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี

- พระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์ลำดวน สุโข อดีตเจ้าอาวาสวัดแหลมฉบัง(เก่า) ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับฉายาทางธรรมว่า " ปรโม "

  เมื่ออุปสมบทแล้วท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดจุกกะเฌอ ซึ่งมีพระอธิการขันธ์ เป็นเจ้าอาวาส เหตุที่ท่านไม่ได้บวชที่วัดจุกกะเฌอ เพราะสมัยนั้นที่วัดจุกกะเฌอยังไม่มีพระอุโบสถ เมื่อมาอยู่ที่วัดจุกกะเฌอท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนชาวบ้านเคารพเสือมใสและศรัทธาในตัวท่าน

  หลังจากที่ท่านบวชได้เพียง 6 พรรษา หลวงขันธ์ เจ้าอาวาสได้มรณภาพลง ชาวบ้านจุกกะเฌอ จึงได้นิมนต์ให้ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อ และในปีต่อมาท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลทั้งๆ ที่ท่านยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครู นับว่าท่านเป็นผู้มีความสามารถ และเป็นนักปกครองที่ดี

  หลวงปู่เริ่มท่านได้ศึกษาพุทธาคมจาก หลวงพ่ออ่ำ เรือเก่า หลายอย่างโดยเฉพาะวิชาฝนแสนห่าและสีผึ้งเจ็ดจันทร์ ซึ่งเป็นวิชาด้านเมตตามหานิยมชั้นสูงแต่ก่อนที่หลวงพ่ออ่ำจะสอนวิชาให้ท่านได้ทดสอบสมาธิและความกล้าของหลวงปู่เริ่ม โดยจับมัดมือไพร่หลังค่อมตอ อยู่ริมป่าช้าที่ผีดุ วัดหนองกระบอกและให้คาถามา 4 ตัวบอกให้ภาวนาจนเชือกหลุดหลวงปู่เริ่มท่านก็สามารถทำได้หลวงพ่อจึงรับไว้เป็น ศิษย์ ถ่ายทอดวิชาดังกล่าว

นอกจากหลวงพ่ออ่ำแล้วหลวงปู่เริ่มยังได้ศึกษาวิชากับอาจารย์อีกหลายรูปอย่างเช่น ไปเรียนวิชาทำปลัดขิกและหนังหน้าผากเสือกับ หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เรียนวิชาหนังหน้าผากเสือกับ หลวงพ่อสาย วัดหนองเกตุน้อย จังหวัดชลบุรี เรียนวิชาทำผง 12 นักษัตริย์ จากหลวงปู่เทียนวัดโบสถ์ จังหวัดปทุมธานี และ วิชาอื่นๆ จากพระอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่ออ่องวัดหนองรี จังหวัดชลบุรี หลวงพ่อผุย วัดหน้าพระธาตุ พนัสนิคม จังหวัดชลบุรีเจ้าคุณศรี วัดอ่างศิลา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น 

  และพระอาจารย์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของ หลวงปู่เริ่ม คือ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโรทัย)วัดสระเกศ กรุงเทพฯ ซึ่งหลวงปู่เริ่ม ได้ขอไปศึกษาวิชา การสร้างพระปิดตา วิปัสสนากรรมฐาน และ วิชาโหราศาสตร์ จากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ จนกระทั่งเกิดความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะด้านโหราศาสตร์ ท่านสามารถดูดวงชะตาราศี สามารถเปลี่ยนดวงและสลับดวงชะตาได้  หลวงปู่เริ่มนอกจากจะเชี่ยวชาญด้านพุทธาคมแล้วท่านยังศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพื่อนำไปขจัดปัดเป่าโรคภัยแก่ชาวบ้าน ด้วยความเมตตาของหลวงปู่เริ่มชาวบ้านในละแวกนั้นจึงให้ความเคารพศรัทธาหลวงปู่เป็นอย่างมาก

อีกเรื่องที่ขาดเสียมิได้ก็คือเรื่องราวของวัตถุมงคลที่มากด้วยประสบการณ์ในหลายๆรุ่น อาทิเช่น พระชัยวัฒน์ฟ้าลั่น พระกริ่งปรโม สีผึ้ง 7 จันทร์ พระผง 12 นักษัตร พระปิดตา แพะเขาควายแกะ หรือ ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายก็มีความศักดิ์สิทธิ์มีประสบการณ์มากมายจนเป็นที่เล่าขานของชาวชลบุรี 

  และ วัตถุมงคลของท่านในแต่ละรุ่นนั้น การจะสร้างมิใช่เรื่องง่ายเลย ท่านทำตามตำรับตำราโบราณพิถีพิถัน ถ้าไม่ดีก็คือไม่ทำ นั่นจึงเป็นเหตุว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่เริ่ม จึงเข้มขลังด้วยพุทธคุณ และเป็นที่แสวงหาของผู้ที่นิยมบูชาวัตถุมงคล ที่จะกล่าวคือ พระชัยไตรโลกนาถ หรือว่าพระชัยวัฒน์ฟ้าลั่น 

  หลังจากในยุคนั้นที่ พระกริ่งชินบัญชร ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ได้โด่งดังจนมีผู้คนแสวงหาเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลวงปู่เริ่ม เองท่านก็เป็นสหายธรรม และ เคยร่วมกันค้นคว้าและแลกเปลี่ยนวิชาบางประการกับหลวงปู่ทิมมาก่อน ทั้งที่หลวงพ่อเริ่มมีอายุน้อยกว่าหลวงปู่ทิม เกือบ 20 ปีหลวงปู่ทิมท่านเคยเดินทางด้วยเท้าเปล่า มาพักและค้างแรมกับ หลวงพ่อเริ่มปีละหลายๆครั้ง ในสมัยหลวงปู่ทิมอายุราว 60 ถึง 70 ปีและการคมนาคมก็ยังไม่สะดวกเหมือนดังเช่นปัจจุบันการที่ไปมาหาสู่กันนั้นต้องเดินด้วยเท้าเปล่าซึ่งถือว่ายากลำบากมาก

  หลวงพ่อเริ่มท่านเล่าว่า หลวงปู่ทิม และ ท่านเมื่อมาพบเจอกันก็คุยกัน และแลกเปลี่ยนวิชาตลอดจนทดสอบวิชากันเพียง 2 รูป ทำเรื่องที่คนเขาเห็นว่าเหลือเชื่อซึ่งเล่าไปก็เป็นการอุตริมนุษธรรม เข้าใจได้ว่าท่านคงนำเอาวิชาที่เรียนมาทดสอบกันให้เห็นจริง เห็นจัง เพียง 2 รูป เพราะหลวงปู่ทิม ท่านพูดเสมอว่า อภินิหาร อิทธิฤทธิ์ นั้นมีจริง ถ้าทำจริง รู้จริง ท่านว่า ถ้ามีศีลสัจจะศรัทธา สมาธิ แล้วจึงจะเกิดอภินิหารได้ 

  หลวงปู่เริ่ม ปรโม กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ท่านทรงอภิญญาอันแก่กล้าเป็น พระเถราจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณ อยู่ในท้องถิ่น ชื่อเสียงของท่านดังมานานเนิ่นนาน ผลงานพัฒนา วัดจุกกะเฌอ ของท่านเองก็เป็นเครื่องยืนยันความศรัทธาที่ประชาชนในถิ่นนั้นมีต่อท่าน กุฏิ เสนาสนะ สิ่งก่อสร้างต่างๆล้วนยืนยันความศรัทธาที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นมีต่อท่าน นอกจากวัดของท่านแล้วไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน พระอุโบสถ และ เสนาสนะ ของวัดต่างๆก็สำเร็จได้ เพระหลวงปู่เริ่ม ท่านได้ช่วยเหลือไว้ในยุคนั้น

  ที่ว่าหลวงพ่อเริ่มมีวิทยาคมแก่กล้านั้นมิได้เกินจริงเลย ในสมัยนั้นหลวงพ่อเริ่ม ยังอายุไม่ถึง 40 ปี ทางการสมัยนั้นอันมีทั้งฝ่ายปกครอง และ ตำรวจ ต้องมาขอร้องท่านให้เลิกอาบน้ำว่านยา และ สักอักขระเลขยันต์ เพราะลูกศิษย์ของหลวงพ่อท่านหลายคนได้กลายเป็นนักเลงหัวไม้ โจร ดักปล้น ตลอดจนไอ้เสือ ทำความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองเพราะความฮึกเหิมที่ได้ของดีไปจากท่าน ท่านจึงต้องเลิกทำ 

  ในด้านไสยเวทย์อาคมนั้น หลวงพ่อเริ่ม ท่านสนใจมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม ยังไม่ได้อุปสมบทที่ไหนมีครูบาอาจารย์ดีมีชื่อท่านจะไปขอร่ำเรียนอยู่เสมอและเมื่อหลวงพ่อเริ่มบวชได้ 10 พรรษาพ้นวิสัยพระนวกะแล้ว พอถึงฤดูแล้ง หลวงพ่อเริ่ม ท่านก็ออกเดินทางไปขอร่ำเรียนวิชา จากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยนั้น 

  สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโรทัย)วัดสระเกศกรุงเทพฯ ซึ่งชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ วิปัสสนากรรมฐาน และ เด่นทางด้านสร้างพระปิดตาไม้แกะด้วยเป็นศิษย์เอกของพระธรรมกิตติเม่น ผู้มีชื่อเสียงในการสร้างพระปิดตาไม้โพธิ์ หลวงพ่อเริ่ม ก็ไปขอเรียนการสร้างพระปิดตา วิชาโหราศาสตร์ และวิปัสสนากรรมฐาน จากพระสมเด็จสังฆราชอยู่ นับว่าครูบาอาจารย์ของท่านมีสมณศักดิ์สูงชั้นพระสังฆราชเจ้า

  หลวงพ่อเริ่มเคยเล่าให้ฟังว่า อาจารย์รูปแรก ของท่านก็คือ หลวงพ่ออ่ำ เรือเก่า เจ้าอาวาส วัดหนองกระบอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังทางการสร้าง แพะ ซึ่งเป็นของเมตตามหานิยมอย่างสูง ตลอดจนใช้ป้องกันอันตรายได้อย่างวิเศษ ไม่ด้อยกว่า เสือ หรือ วัวธนู

  หลวงพ่ออ่ำ เรือเก่า นอกจากจะเป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา อันเร้นลับให้ท่านหลายอย่างแล้ว หลวงพ่ออ่ำ ยังเป็นปู่แท้ๆ ของท่านด้วย

  หลวงพ่อเริ่มท่าน ยังเล่าต่ออีกว่า ที่เรียกว่า หลวงพ่ออ่ำ เรือเก่านั่นก็เพราะมีเถ้าแก่เรือปลาชาวระยองคนหนึ่ง ชื่อเถ้าแก่ย้ง อยากจะทดสอบความเป็นผู้มีเมตตามหานิยมของหลวงพ่ออ่ำ เถ้าแก่ย้ง มีเรือประมงอยู่ 2 ลำ ซึ่งเป็นเรือเก่าที่ใช้มานานแล้วลำหนึ่ง ส่วนอีกลำหนึ่งเป็นเรือที่ต่อใหม่เอี่ยม เถ้าแก่ย้งต้องการขายเรือลำเก่าจึงได้ถามพนันกับหลวงพ่ออ่ำว่าถ้าหลวงพ่อมีเมตตามหานิยมสูงจริงๆ ต้องทำให้ลูกค้าที่จังหวัดสมุทรสาครซึ่งจะมาซื้อเรือ เลือกซื้อเรือลำเก่าในราคา ลำละ 90 ชั่ง ซึ่งตั้้งราคาขายเท่ากับเรือลำใหม่ 

  หลวงพ่ออ่ำเมื่อได้ยินเถ้าแก่ย้งท้าดังนั้น ท่านก็มาที่เรือทั้งสองลำ ซึ่งยกขึ้นมาจอดคู่กันไว้ ขนาดและกำลังเครื่องยนต์เท่ากันทุกอย่าง หลวงพ่ออ่ำ ท่านก็ขึ้นไปบนเรือลำเก่า เดินวนอยู่ 3 รอบ เจิมนู่นเจิมนี่ ตามเรื่องของท่าน แล้วเอาน้ำมนต์พรมรอบๆเรือลำเก่าจนทั่ว ส่วนเรือลำใหม่ท่านไม่ได้ขึ้นไปแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว

  และเมื่อถึงเวลาพ่อค้าปลาจังหวัดสมุทรสาครมาดูเรือทั้งสองลำ แล้วก็ตกลงซื้อเรือลำเก่า ลำที่หลวงพ่อ ขึ้นไปเจิมไว้ในราคา 90 ขั่งซึ่งราคาเท่ากับเรือลำใหม่ เป็นที่น่าอัศจรรย์ และ ตกตะลึงของเถ้าแก่ย้งและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ผู้คนในสมัยนั้นเลยเรียก หลวงพ่ออ่ำ ปู่และครูบาอาจารย์รูปแรกของหลวงพ่อเริ่ม ว่าหลวงพ่ออ่ำ เรือเก่า

  หลวงพ่อเริ่มท่านยังเล่าต่อว่า ท่านได้รับถ่ายทอด วิชาฝนแสนห่า กับ สีผึ้งเจ็ดจันทร์ ที่เรียนมาจากหลวงพ่ออ่ำ เรือเก่า ซึ่งเป็นวิชาเมตตามหานิยมอย่างสูงของหลวงพ่ออ่ำ ก่อนที่หลวงพ่ออ่ำ จะรับท่านไว้เป็นศิษย์ถ่ายทอดวิชา หลวงพ่ออ่ำ ได้ทดสอบสมาธิ และ ความกล้าของท่านโดยจับท่านมัดมือไพร่หลัง ค่อมตออ ยู่ริมป่าช้าผีดุ วัดหนองกระบอก และ ให้คาถามา 4 ตัวบอกให้ภาวนาให้เกิดสมาธิจนเชือกหลุด

  เมื่อหลวงพ่ออ่ำวัดท่านและพระเพื่อนอีกรูปหนึ่งก็เดินกลับกุฏิซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก หลวงพ่ออ่ำ เดินยังไม่ทันก้าวขึ้นกุฏิ หลวงพ่อเริ่มท่านก็ทำใจจนเป็นสมาธิภาวนาจนเชือกหลุด ส่วนพระเพื่อนอีกองค์ภาวนาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุดจนไม่ไหวต้องร้องตะโกนให้คนมาช่วยแก้มัด ก็เป็นอันว่าคราวนั้นหลวงพ่ออ่ำ รับหลวงพ่อเริ่มไว้เป็นลูกศิษย์เพียงรูปเดียว

  นอกจากหลวงพ่ออ่ำ แล้วหลวงพ่อเริ่มท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ซึ่งโด่งดังมากในสมัยนั้น ก็เป็นอาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่าน ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชา ทำปลัดขิก และ ทำหนังหน้าผากเสือ จากหลวงพ่ออี๋ แต่หลวงพ่อเริ่ม ท่านไม่ยอมสร้างปลัดขิกไม่ว่าจะใครมาขออย่างไรก็ตามท่านไม่ยอมแม้แต่จะปลุกเสกให้ด้วย

  นอกจากหลวงพ่ออี๋ ผู้โด่งดังเรื่องการสร้างปลัดขิกแล้ว ท่านก็ยังไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อสาย วัดหนองเกตุน้อย จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้าน หนังหน้าผากเสือ หลวงพ่อเริ่มท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อสาย ท่านค้างค่าก่อสร้าง วัดหนองเกตุน้อย เป็นเงินเกือบ 300 บาท ซึ่งก็มากเอาการอยู่ในสมัยนั้น หลวงพ่อสายต้องการหาเงินมาใช้หนี้ช่างก่อสร้าง จึงมอบให้หลวงพ่อเริ่ม ทำหนังหน้าผากเสือ จำนวน 300 แผ่น ใส่ย่ามไปจนเต็ม เอาไปให้หลงจู๊โรงน้ำตาล 

  เมื่อเจอหลงจู๊โรงน้ำตาล และ ได้บอกความประสงค์ของหลวงพ่อสาย ต่อหลงจู๊โรงน้ำตาลและบรรดาลูกน้องที่กำลังเมาได้ที่ คนเหล่านั้นจึงถามหลวงพ่อเริ่มว่าขอทดลองได้ไหม หลวงพ่อเริ่มท่านบอกว่าได้ แต่ตัวท่านเองไม่แน่ใจนัก เมื่อเห็นพวกคุมโรงน้ำตาลควักปืนออกมา ท่านก็ยกหนังหน้าผากเสือทั้งหมด นึกถึงครูบาอาจารย์แล้วหยิบแผ่นนึง วางไว้บนตอไม้ พวกนักเลงคุมโรงน้ำตาลก็ยิงทันทีดัง แชะ ทดลองยิงหลายแผ่นล้วนแต่ไม่ออก พวกนั้นต่างเช่าหนังหน้าผากเสือ 300 แผ่น ไปจนหมดและได้เงิน 300 บาทไปให้หลวงพ่อสาย 

  ไม่พ้นคืนนั้นเรื่องราวนี้ก็ได้ถูกบอกเล่าปากต่อปาก จนเช้าวันถัดมา มีผู้คนอีกหลายสิบคนได้ไปตามขอ หนังหน้าผากเสือ ที่ท่านเสก ถึงวัดจุกกะเฌอแต่ก็น่าเสียดายที่หมดไปแล้ว กว่าจะหาหนังหน้าผากเสือได้อีกก็คงอีกนานจึงบอกได้ว่า หลวงพ่อเริ่ม ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาหนังหน้าผากเสือมาจากทั้งหลวงพ่ออี๋และหลวงพ่อสาย ท่านว่าเป็นวิชาที่ลงและปลุกเสกคล้ายกันทั้ง 2 รูป

นอกจากพระอาจารย์ที่กล่าวนำมาแล้ว หลวงพ่อเริ่ม ท่านยังเรียนวิชาเร้นลับจากหลวงพ่ออ่อง วัดหนองรี จังหวัดชลบุรี หลวงพ่อผุย วัดหน้าพระธาตุอำเภอพนัสนิคม และ แม้แต่หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว บางปะกง ซึ่งหลวงพ่อเริ่มก็ได้ไปมาหาสู่เป็นประจำ แต่ยังไม่ทันจะจำพรรษาเพื่อขอถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อดิ่งก็เกิดคดีขึ้น

  ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ที่ขาดเสียมิได้ในสมัยก่อนนั้น ก็คือ หลวงปู่เทียนวัดโบสถ์ จังหวัดปทุมธานี ท่านเป็นพระมอญที่มีชื่อเสียงในการสร้างพระผง 12 นักษัตร ซึ่งมีอานุภาพไม่น้อยไปกว่า ผงสมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพุฒาจารย์โต หลวงพ่อเริ่ม ท่านก็ไปหาและขอร่ำเรียนวิชาสร้างผง 12 นักษัตรนี้มาด้วย

  หลวงพ่อเริ่มท่านเล่าว่าผง 12 นักษัตร เป็นผงที่สร้างยาก ต้องมีความมานะพยายามอย่างสูง กว่าจะรวบรวม วัตถุมงคลให้ครบตามตำรับตำรา ก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว ต้องหากระดูกสัตว์ทั้ง 12 ชนิด เช่น ต้องหากระดูกม้าขาว กระดูกไก่ดำ ซึ่งกระดูกจะออกเป็นสีชมพู ประการสุดท้าย ต้องได้กระดูกนิ้วก้อยซ้าย นิ้วก้อยขวา ของผีตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร มาบดผสมด้วย 

  เมื่อได้กระดูกสัตว์ทั้ง 12 ชนิด และ วัสดุมงคลอื่นครบถ้วนตามตำราแล้วต้องบดผงเข้าด้วยกัน แล้วปั้นเป็นแท่งดินสอเตรียมไว้ เมื่อเข้าพรรษาก็ให้เริ่มลงอักขระเลขยันต์ ตั้งแต่วันแรกจน ถึงวันสุดท้ายของพรรษา ขาดลงแม้แต่วันใดวันหนึ่งก็ไม่ได้ ถ้าขาดลงต้องตั้งต้นใหม่ ท่านว่าผงนี้ต้องใช้ความมานะพยายามอย่างมาก ต้องลงให้ครบทั้ง 3 พรรษา จะขาดวันใดวันหนึ่งก็ไม่ได้ลงแล้วลบ ดินสอหมดก็ปั้นผงเป็นดินสอขึ้นมาให ม่ลงแล้วลบทำซ้ำไปอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อเริ่มเล่าว่าลูกศิษย์หลวงปู่เทียนที่เรียนผงนี้ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่สร้างผมนี้ได้สำเร็จถูกต้องตามตำรา หลวงพ่อเริ่ม เล่าอีกว่าในชีวิต 59 พรรษาท่านทำผงนี้ได้สำเร็จถึง 2 ครั้งแล้ว ท่านลบแล้วถมจนผงลอดกระดานทุกครั้ง

  นอกจากครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง บางองค์เป็นถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้าก็มีแล้ว ท่านยังไปขอร่ำเรียนวิชาอาคมกับครูฆราวาส ผู้เรืองวิทยาคมในสมัยนั้นอีกหลายคน เป็นครูกะเหรี่ยง แถบป่าเมืองกาญจนบุรี ท่านไปเรียนวิชาอาบว่านให้อยู่ยงคงกระพันและทำสำเร็จตามตำราสามารถอยู่โครงอาวุธทุกชนิด

  โยมข้างวัดเล่าให้ฟังว่าสมัยหลวงพ่อยังหนุ่ม มีนักเลงหัวไม้ย่านนั้น มาขอให้หลวงพ่ออาบว่านยาให้ และ เกือบทุกรายได้กลายเป็นเสือปล้นไป หนักเข้าทางการตำรวจและอำเภอ ได้มาขอร้องให้ท่านเลิกสักและอาบว่านยาเสียและทำให้คนเป็นโจรไปมาก ท่านก็รับปากและทุบหม้อยาทิ้ง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 40 ปี ท่านไม่ยอมสักและอาบว่านยาให้ใครอีกเลย

  นอกจากครูกะเหรี่ยงแล้ว ท่านยังเรียนวิชากับฆราวาสอีกหลายต่อหลายคนมีทั้ง ครูลาว และ ครูเขมร สำหรับวิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสมัยนั้น เพื่อปัดเป่าความทุกข์ร้อนเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวบ้าน ท่านได้มาจาก หมอ ฉิมพลี ฆราวาสหมอยา ผู้มีชื่อเสียงในวัดจุกกะเฌอนั่นเอง และในสมัยนั้น หลวงพ่อเริ่ม ก็ได้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านในเรื่องหยูกยาจนภายหลังแพทย์แผนปัจจุบันก้าวเข้าไปถึง ท่านจึงเลิกรักษาแบบแผนโบราณตั้งแต่นั้นมา ท่านว่ายาสมัยใหม่ได้ผลเร็วกว่า นับว่าท่านเป็นผู้ทันสมัยทันเหตุการณ์ท่านหนึ่ง

  นอกจาก ครูลาว และ ครูกะเหรี่ยงแล้ว ท่านเล่าว่าท่านเรียนวิชา หินเบา หรือ วิชาชาตรี จากครูเขมร ซึ่งเป็นผู้เรืองวิทยาคมมาก ครูฆราวาสคนนี้ของท่าน แสดงอิทธิฤทธิ์ซึ่งเป็นฤทธิ์ทางใจให้ท่านเห็นหลายประการ และ ให้ท่านติดตามเพื่อถ่ายทอดวิชาให้ ขณะนั้นท่านบวชได้เพียง 7 พรรษาแต่ท่านบอกไม่อาจติดตามครูไปทุกหนทุกแห่งได้ เพราะครูท่านเป็นผู้ร้อนวิชาอยู่ไม่เป็นที่ ท่านเป็นพระจึงไม่อาจติดตามไปได้

  ครูฆราวาสท่านนี้ แสดงสิ่งแปลกให้ท่านดูหลายอย่า งบางทีไต่ขึ้นไปบนต้นตาลเหมือนเดินบนดินแล้วกระโดดลงมา บางครั้งเอาหินก้อนโตๆโยนขึ้นไปแล้วเอาหัวรับแบบหม่งลูกตะกร้อ ซึ่งเป็นวิชาชาตรี หรือ หินเบา บางครั้งก็เพ่งให้เรือยนต์หยุดก็ยังเคย ครูฆราวาสคนนี้ ท่านบอกเก่งมากแสดงให้ดูได้เสียดายที่ท่านไม่อาจติดตามไปเรียนได้

  เรื่องราวการไปแสวงหาครูบาอาจารย์ เพื่อเรียนวิชา เรียนวิทยาการอันเหนือเหตุเหนือผลนี้ ท่านใส่ใจมาตั้งแต่หนุ่มๆ ปัจจุบันหลวงพ่อละเลิกหมดแล้วแล้วหันเข้าวิปัสสนา เพื่อบ่มปัญญาให้แก่กล้าขึ้น เพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด 

  หลวงพ่อเริ่มท่านว่า คาถาอาคมทุกอย่าง ไม่ได้อยู่ที่ตัวอักษร แต่มันอยู่ที่ใจคนหัวไวปัญญาดี ท่องคาถาอาคมวันเดียวคืนเดียวก็สำเร็จ แต่จะใช้ได้ผลเพียงใดหรือไม่นั้น มันอยู่ที่ใจเคล็ดลับทั้งหลายที่จะใช้คาถาอาคมซึ่งเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวของอารมณ์นั้น มันสำคัญที่ใจ ต้องฝึกจิตฝึกใจ ให้เป็นสมาธิ เมื่อใจเป็นสมาธิแล้ว ต้องใช้สมาธิให้เกิดประโยชน์ที่สูงยิ่งขึ้นไป จนถึงขั้นเกิดปัญญา อย่าไปติดอย่าไปหลงอยู่กับ ฤทธิ์ แต่เพียงเท่านั้นต้องทำปัญญาให้เกิดขึ้นด้วยจึงเป็นชาวพุทธที่แท้จริง

  ดังนั้นเมื่อคณะศิษย์หลวงปู่ทิม ไปขอเชิญท่านมาเป็นประธานเททองหล่อพระชัยวัฒน์ชุดนี้ ท่านจึงรับปากทันที และนับเป็นพระชัยวัฒน์รุ่นแรกของท่าน เพราะหลวงพ่อเริ่ม ท่านยังไม่เคยสร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์มาก่อนเลยในสมัยนั้น เมื่อไปขออนุญาตแล้วท่านก็อนุญาตและท่านดูฤกษ์ตามวันเวลาที่จัดเตรียมไปให้แล้ว ท่านก็บอกว่าฤกษ์นี้ดีมาก และท่านก็ไม่บอกกล่าวอะไรอีก เสร็จแล้วท่านได้มอบผงซึ่งท่านบอกว่าท่านรวบรวมสร้างนานถึง 11 ปี เขียนแล้วลบจนผงลอดกระดานให้มาขวดนึง สีผึ้ง 7 จันทร์มาให้อีกตลับท่านบอกให้ผสมลงไปในผงของหลวงปู่ทิม ที่จะใช้อุดก้นพระชัยด้วย และท่านบอกว่าท่านจะไปเททองให้ที่โรงงานหล่อ  ที่บ้านช่างเพียงรูปเดียว ไม่ต้องนิมนต์พระรูปอื่นไปสวดด้วย

  เมื่อทางทีมงานกลับถึงกรุงเทพฯ และเตรียมงานเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ไปพบสหัสรังสี เพื่อขอรายละเอียดของฤกษ์ และเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อท่านให้ผงมหานิยมและสีผึ้งเจ็ดจันทร์ ซึ่งเป็นของสำคัญของท่านและเป็นสีผึ้งมหานิยมอย่างสูงมาด้วย ท่านโหร สหัสรังสี จึงบอกว่าหลวงพ่อรูปนี้เก่งแน่ๆ เพราะฤกษ์เททองพระชัยวัฒน์ครั้งนี้นั้นจันทร์เป็นมหาจักร ซึ่งเป็นมหานิยมอย่างสูงสุดในรอบปี อีกทั้งยังแฝงแสงดาวมฤตยูร่วมดาวพระเกตุทำให้เป็นทั้งมหาปราบด้วย ท่านว่านอกจากการจะเป็นมหานิยมอย่างสูงแล้ว อาทิตย์มฤตยูกุมอังคารยังเป็นมหาปราบอีกด้วย หลวงพ่อรูปนี้ท่านคงรู้ฤกษ์ด้วยญานถึงมอบสีผึ้งมหานิยมจัดมาให้ด้วย

  บรรดาศิษย์ก้นกุฏิหลวงปู่ทิมจึงตกลงสร้างพระชัยวัฒน์คลื่นเพื่อนำรายได้สมทบทุนมูลนิธิโดยรวบรวมเอาวัตถุมงคลสำคัญอันมี

 1 ชนวนพระกริ่ง และ พระชินบัญชร ทั้งหมดที่เก็บรวบรวมไว้

 2 ชนวนรูปหล่อ หลวงปู่ทิม รุ่นชินบัญชร และ รุ่นทำบุญ 100 วัน

 3 ตะกรุดสำคัญสำคัญของหลวงปู่ทิม ตะกรุดมหากำบังใหญ่ ตะกรุด 7 ดอกตะกรุดมหาระงับ ตะกรุดมหาปราบ ตะกรุดสาริกา ตะกรุดสามกษัตริย์

 4 พระกริ่งซึ่งชำรุดและไม่ทราบสำนัก

 5 แผ่นทองลงอักขระเลขยันต์สำคัญๆ ของหลวงพ่อเริ่มปรโม

 6 ชนวน 559 พระอาจารย์ชื่อดัง ทั้งสายวิปัสสนากรรมฐาน และ สายวิทยาคม

 7 คว้านก้นบรรจุด้วยผงพระพุทธคุณ ผงจินดามณี และ ผงพรายกุมาร ของหลวงปู่ทิม

 8 หลวงพ่อเริ่มผู้เมตตาเททองและปลุกเสก ได้มอบสีผึ้งมหานิยมใช้เวลาสร้างนานถึง 10 ปี เรียกว่าสีผึ้งเจ็ดจันทร์ สร้างและทำพิธีปลุกเสกเวลาที่พระราหูอมจันทร์ ซึ่งถือเป็นมหานิยมอย่างสูงตามคติทางด้านเวทวิทยาคมต้องใช้เวลาปลุกเสกจนก้อนสีผึ้ง ซึ่งปั้นเป็นภาพผู้หญิงมีนิมิต ถึงขนาดยกมือมา กอดอกตัวเองได้ และ ไว้เวลาปลุกเสกถึง 7 ครั้ง จึงเรียกว่าสีผึ้งเจ็ดจันทร์

 เมื่อถึงเย็นวันพิธีเททอง เมื่อพราหมณ์และหลวงพ่อเริ่ม เริ่มทำพิธีเททองในเวลา 18:19 น.ได้เกิดฟ้าร้อง ครืนๆ ขึ้นสามครั้ง สามหน ทั้งที่ไม่มีเค้าของฝนเลย และเมื่อเททองเบ้าแรกเสร็จ คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ เจตนาเอาสายสิญจน์ไปฟาดปากเบ้า ซึ่งน้ำทองกำลังเดือดแดงจัดจนลุกเป็นไฟ แต่สายสิญจน์กลับไม่ไหม้ไฟ 

 พระชัยวัฒน์ชุดนี้เมื่อพิจารณาจากฤกษ์ยามแล้วได้ตั้งชื่อไว้ว่า พระชัยไตรโลกนาถ เพราะเป็นฤกษ์มหานิยมจัด ที่ทั้งสามโลก คือ เทพ-เทวดามนุษย์ และ บาดาล ต้องมาร่วมกันเพราะความเป็นมหานิยมของโลกนี้ และนอกจากจะเป็นมหานิยมแล้ว หลวงพ่อเริ่ม และสหัสรังสี ยังกล่าวพร้อมกันอีกว่า นอกจากจะเป็นมหานิยมจัดแล้ว ยังเป็นมหาปราบอีกด้วย หลวงพ่อเริ่มถึงกับเอ่ยปากว่าพระชัยชุดนี้ ผู้คนใช้แล้วจะทำให้คนทั้งรักทั้งกลัว

 เมื่อหลวงพ่อเททองหล่อพระชัยวัฒน์เนื้อทองคำ ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายเสร็จ ฝนก็โปรยปรายลงมาเบาๆไม่หนักแล้วก็หยุดหาย เป็นเหตุการณ์ที่ผมต้องเอ่ยปากถามหลวงพ่อเริ่มว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นหลวงพ่อเริ่มท่านว่า 

 ครูบาอาจารย์และเบื้องบนยอมรับรู้ในการสร้างของมงคลครั้งนี้ และหลวงปู่ทิมท่านก็รับทราบด้วย หลวงพ่อเริ่มท่านยังแนะผมให้เปลี่ยนชื่อจากเดิมซึ่งตั้งตามฤกษ์ว่า พระชัยไตรโลกนาถ เป็น พระชัยฟ้าลั่น ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยจะกล้านักกับชื่อนี้ เพราะดูหนักน่ากลัวและจะเป็นการโอ้อวดไปแต่หลวงพ่อท่านว่าไม่เป็นไร เพราะแม้แต่ธรรมชาติก็ยอมรับก็เลยต้องเห็นดีเห็นงามไปกับท่าน

 พระชัยฟ้าลั่นซึ่งดำเนินการจัดสร้าง โดยศิษย์หลวงปู่ทิม อิสริโก ผู้สร้างพระกริ่งชินบัญชรอันเลื่องลือมาแล้ว ก็มีผู้สั่งจองกันจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงอาทิตย์เดียว ทำให้ผู้สั่งจองอีกหลายๆท่านต้องผิดหวังเพราะความลังเล 

 พระชัยฟ้าลั่นนั้นหลวงพ่อเริ่มท่านทำพิธีปลุกเสกอยู่ 3 คืน พระชัยฟ้าลั่นก้นบรรจุผงพุทธคุณทั้งของหลวงพ่อเริ่มและผงพุทธคุณอันสำคัญๆของหลวงปู่ทิม สำหรับผงพุทธคุณที่นำมาบรรจุก้นพระชัยฟ้าลั่นครั้งนี้ ประกอบด้วยผงสำคัญๆของหลวงปู่ทิมและของหลวงพ่อเริ่ม คือ ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาจินดามณี และ ผงน้ำมันหลวงปู่ทิม ซึ่งท่านใช้เพียงใบเดียวตลอดชีวิต 73 พรรษาในเพศพรหมจรรย์ของท่าน และ ประการสุดท้ายผงไม้คูณหรือไม้ราชพฤกษ์ ซึ่งเหลือจากการทำปลัดขิกเลข 3 ซึ่งหลวงปู่ทิมเคยบอกว่าผงไม้คูณเป็นมงคล เพราะมีแต่คูณมีแต่เพิ่มไม่มีลด และ ของสำคัญชุดสุดท้ายของหลวงปู่ทิมที่ผสมในผงชุดนี้ คือสีผึ้ง

 สำหรับผงของหลวงพ่อเริ่มมีผง 12 นักษัตร ซึ่งท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ เป็นผงที่มีความพิสดารในตัวและสร้างยากต้องรวบรวมวัตถุมงคลให้ครบตามตำรา ซึ่งกว่าจะสร้างได้ต้องใช้เวลานาน เป็นผงเมตตามหานิยมอย่างสูง ใช้ได้ครอบจักรวาล เพราะมีทั้งแคล้วคลาดและมหาอุตรวมด้วย 

 วัตถุมงคลอีกอย่างที่หลวงพ่อเริ่มมอบให้และสั่งให้ผสมลงในผง ที่จะใช้อุดก้นพระชัยฟ้าลั่นด้วยคือ สีผึ้งเจ็ดจันทร์ เป็นสีผึ้งมหานิยม ซึ่งหลวงปู่ทิมเคยปรารภถึงหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ ว่าท่านเริ่มเขามีสีผึ้งดี เรียนมาจากหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก คุณภาพไม่ด้อยกว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง จังหวัดระยอง ซึ่งโด่งดังทางสีผึ้งเมตตามหานิยม

 หลวงพ่อเริ่มท่านเล่าถึงวิธีทำ สีผึ้งเจ็ดจันทร์ ของท่านว่าประการแรกท่านต้องไปบิณฑบาตสีพึ่งมาจากท่าสำคัญๆ 7 ท่า ท่าที่ว่านี้ ต้องเป็นท่าเรือ หรือท่ารถที่มีผู้คนพลุกพล่าน ซื้อง่ายขายคล่อง ท่านจะไปบิณฑบาตโดยถามตามร้านค้าว่าโยมมีสีผึ้งขายไหม ถ้าเขาตอบว่ามีท่านก็จะบอกว่าอาตมาเป็นสงฆ์ไม่มีปัจจัยขอบิณฑบาตสีผึ้งของโยมสักหน่อยจะได้ไหม เมื่อเขาให้ท่านก็รับมา มากน้อยไม่สำคัญ แล้วท่านก็สัพพีให้ศีลให้พรผู้ให้ ทำอย่างนี้จนครบ 7 ท่า ก็นำสีผึ้งนั้นมาปั้นเป็นรูปผู้หญิงสาว เสร็จแล้วเอาไปฝังไว้กลางป่าช้าจนครบ 3 คืนแล้วจึงไปขุดเอามา 

 ท่านว่าก่อนจะไปฝังกลางป่าช้า ต้องเข้าไปนั่งเรียก ยายกะลาตากะลี และนายป่าช้า จนปรากฏในนิมิต แล้วเอ่ยปากขอฝากฝังหุ่นขี้ผึ้งไว้ เมื่อครบ 3 วัน 3 คืนแล้ว จึงไปขุดขึ้นมานำผงผสมกับสีผึ้ง ให้มากน้อยตามต้องการ แล้วนำสีผึ้งมากวนกับน้ำมันมะพร้าว โดยให้เด็กสาวพรหมจารี เป็นผู้กวนแล้วเก็บไว้เมื่อคราวใดที่เกิดจันทคาด คือพระราหูเข้าอมพระจันทร์ ท่านก็จะเริ่มทำพิธีปลุกเสกตั้งแต่พระราหูเริ่มอมพระจันทร์ จนพระราหูคลายพระจันทร์รวมแล้วให้ได้ 7 ครั้งจึงจะถือว่าเสร็จครบตามตำรา

ระหว่างที่พระราหูเข้าอมพระจันทร์นั้น ตามคติทางสายเวทย์วิทยา ถือว่าเป็นมหานิยมอย่างสูง หลวงพ่อเริ่มท่านว่า สีผึ้งของท่านสร้างยากต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 ปี จึงจะทำสำเร็จ ท่านจึงหวงสีผึ้งของท่านมากไม่คุ้นเคยกันจริงๆ ท่านจะไม่ให้ แต่ก็มีอยู่ครบแล้วในพระชัยฟ้าลั่นชุดนี้

 พระชัยฟ้าลั่นชุดนี้จึงดีทั้งองค์พระ ซึ่งสร้างจากชนวนพระกริ่งชินบัญชรล้วนพร้อมตะกรุดสำคัญๆของหลวงปู่ทิม และ ของหลวงพ่อเริ่ม สำหรับผงที่บรรจุก็เรียกว่าเป็นสุดยอดผงสำคัญๆ ของหลวงปู่ทิมมาบรรจุ โดยเฉพาะนุ่นในหมอนหนุนศีรษะของท่านมาผสมด้วย เป็นการช่วยหนุนชะตาชีวิตของผู้ใช้ให้รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น แต่ถ้าดวงชะตาตกก็จะหนุนไว้ไม่ให้ทรุดลงไปตามดวง เมื่อเวลาดวงชะตาขึ้นก็จะหนุนให้ดีขึ้นไปอีก เป็นคำที่ว่า น้ำขึ้นก็ขึ้นตามน้ำ แต่ถ้าน้ำลงไม่ลงตามน้ำ

     ในบันปลายชีวิต หลวงพ่อเริ่ม ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคถุงลมโป่งพอง จึงกลับมาพักฟื้นอยู่ที่วัดจุกกะเฌอ จนปี พ.ศ. 2536 ท่านมีสุขภาพดีขึ้นสามารถออกปฏิบัติศาสนกิจ และรับนิมนต์ไปในงานพุทธาภิเษกต่างๆ ได้ หลวงพ่อเริ่ม มรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 รวมสิริอายุได้ 90 ปี 12 วัน พรรษาที่ 70 และในวันที่ 19 กรกฎาคม ของทุกกปี ทางวัดจุกกะเฌอ จะจัดงานวันบูรพาจารย์ ทำบุญครบรอบ หลวงปู่เริ่ม ปรโม ซึ่งจะมีศิษยานุศิษย์มากมายมาร่วมงาน

     นอกจากเรื่องราวพระชัยวัฒน์ฟ้าลั่นที่ผู้เขียนได้หยิบยกขึ้นมา วัตถุมงคลของหลวงปู่เริ่มก็ยังมีอีกหลากหลายรุ่น และแต่ละรุ่นมีผู้คนแสวงหามากมาย ด้วยประสบการณ์ที่เล่าขานสืบมา และจำนวนจัดสร้างที่น้อย ขนาดวัตถุมงคลที่ทางวัดจุกกะเฌอสร้างย้อนยุคที่มีส่วนผสมของมวลสารเดิมนั้น ผู้คนก็ยังแสวงหาไม่แพ้รุ่นก่อนๆเช่นกัน

ข่าวโดย ไผ่ บ่อไร่

Visitors: 344,098